ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หรือ DJIA เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยบทความนี้จะพาคุณไปเข้าใจว่า DJIA คืออะไร ต่างจากดัชนีอื่นอย่างไร และควรใช้เปรียบเทียบอะไรได้บ้างในการลงทุนอย่างมั่นใจ
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ คืออะไร?
Dow Jones Industrial Average คือดัชนีที่ใช้ติดตามหุ้นของบริษัทใหญ่ 30 แห่งในอเมริกา เช่น Apple, Coca-Cola, IBM โดยเป็นดัชนีแบบถ่วงน้ำหนักราคาหุ้น ไม่ใช่มูลค่าตลาด ซึ่งหมายความว่าหุ้นราคาสูงมีอิทธิพลต่อค่าดัชนีมากกว่าหุ้นราคาต่ำ ดัชนีนี้ถูกใช้มานานกว่า 100 ปีและยังคงได้รับความนิยมในการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจอเมริกา เพราะสะท้อนถึงความเคลื่อนไหวของธุรกิจขนาดใหญ่ในหลายภาคส่วนของตลาด
ทำไมต้องเปรียบเทียบ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์?
การเปรียบเทียบดัชนีดาวโจนส์กับดัชนีอื่นอย่าง S&P 500 หรือ NASDAQ ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพการเติบโตของหุ้นในกลุ่มต่างๆ เช่น เทคโนโลยี อุตสาหกรรม หรือพลังงาน อีกทั้งยังช่วยวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น เพราะดัชนีแต่ละตัวมีความเสี่ยง ผลตอบแทน และการเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะ DJIA ที่มีความผันผวนตามราคาหุ้นรายตัวมากกว่าดัชนีอื่น
เปรียบเทียบ DJIA กับ S&P 500 และ NASDAQ
DJIA มีเพียง 30 บริษัทใหญ่ ใช้การคำนวณแบบราคาหุ้น ส่วน S&P 500 มีบริษัทถึง 500 แห่ง และ NASDAQ เน้นไปทางหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีความเปราะบางและผันผวนสูงกว่า ดังนั้นหากคุณต้องการเปรียบเทียบความมั่นคงและความโตเร็ว DJIA มักเหมาะกับภาพรวมระยะยาว ขณะที่ NASDAQ เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงสูงได้ และ S&P 500 ก็ถือเป็นตัวกลางที่สมดุลระหว่างความหลากหลายและความเสี่ยง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อดัชนีดาวโจนส์
ดัชนี DJIA เปลี่ยนแปลงตามข่าวเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยเงินเฟ้อ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทใหญ่ ๆ ที่อยู่ในดัชนี เช่น เมื่อ Apple หรือ Microsoft ประกาศกำไรไม่ดี ค่าดัชนีก็อาจลดลงได้ทันที นอกจากนี้เหตุการณ์ระดับโลก เช่น สงคราม หรือโรคระบาด ก็ส่งผลกระทบต่อ DJIA ได้โดยตรง
วิธีดูผลตอบแทนและเปรียบเทียบดัชนี
การดูผลตอบแทนของ DJIA ต้องพิจารณาทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยสามารถดูผ่านเว็บไซต์ตลาดหุ้นหรือแอปลงทุนที่แสดงกราฟย้อนหลังเปรียบเทียบกับดัชนีอื่น เช่น S&P 500, NASDAQ หรือแม้แต่ SET ของไทย เพื่อดูว่าหากลงทุนในช่วงเวลาเดียวกัน จะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ และมีความเสี่ยงอย่างไร โดยค่าความสัมพันธ์ (correlation) ระหว่างดัชนีเหล่านี้ยังบอกถึงความเชื่อมโยงของตลาดโลกได้ด้วย
ข้อดี–ข้อเสียของการใช้ดัชนีดาวโจนส์
ข้อดีคือ DJIA เป็นดัชนีที่เรียบง่าย เข้าใจไม่ยาก สะท้อนบริษัทที่มีความมั่นคงสูงและมักให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะยาว ส่วนข้อเสียคือการคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักราคาหุ้นทำให้บางบริษัทมีผลต่อดัชนีมากเกินไป อีกทั้งจำนวนบริษัทเพียง 30 แห่ง อาจไม่เพียงพอในการสะท้อนภาพรวมของตลาดทั้งหมดเหมือนดัชนีที่ครอบคลุมมากกว่า เช่น S&P 500
ลงทุนกับดัชนี DJIA อย่างไรดี?
หากคุณสนใจลงทุนกับดัชนีดาวโจนส์ สามารถเลือกซื้อ ETF เช่น DIA ที่สะท้อนดัชนีนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนตาม DJIA หรือเลือกลงทุนโดยตรงในบริษัทใหญ่ที่อยู่ในดัชนีผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาความเสี่ยงค่าเงินดอลลาร์ และควรลงทุนระยะยาวเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนระยะสั้น ร้านข้าวต้มกุ๊ย ใกล้ฉัน
บทสรุป
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เป็นดัชนีที่ทรงอิทธิพลในโลกการเงินและการลงทุน โดยเฉพาะเมื่อต้องการดูแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเปรียบเทียบกับดัชนีอื่นจะช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพชัดขึ้นว่าควรลงทุนในกลุ่มไหน เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตนหรือไม่ แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่หากเข้าใจวิธีใช้อย่างถูกต้อง DJIA ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการวางแผนการเงินระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย
Q: ดัชนีดาวโจนส์มีแค่ 30 บริษัทจะสะท้อนตลาดได้อย่างไร?
A: แม้จะมีแค่ 30 บริษัท แต่ล้วนเป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมสูงมาก
Q: นักลงทุนไทยลงทุนตาม DJIA ได้หรือไม่?
A: ได้ สามารถลงทุนผ่าน ETF หรือกองทุนรวมต่างประเทศที่อิงดัชนีนี้
Q: Dow Jones ต่างจาก NASDAQ อย่างไร?
A: Dow Jones เน้นบริษัทมั่นคง ส่วน NASDAQ เน้นหุ้นเทคโนโลยีและมีความเสี่ยงสูงกว่า